DISCOVER

DESIGN OVERVIEW

Story by : Siraphop Pulsri

ฉันชอบสีแดง แต่ไม่ใช่สีแดงแบบสีแดงปกติถึงจะพูดว่า ‘ปกติ’ แต่ฉันก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าสีแดงปกตินั้นเป็นอย่างไรแต่ฉันไม่ชอบ สีแดงที่ฉันชอบเป็นสีแดงที่เข้มกว่าปกติ คุณยายบอกว่ามันเรียกว่าสีแดงเบอร์รี่ ฉันชอบสีแดงเบอร์รี่ คุณยายก็เหมือนกัน เราคุยกันอีกหลายเรื่องแต่มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ฉันจำไม่ได้ คุณยายตอบคำถามบางอย่างที่ฉันถามไป ฉันจำได้ว่าคำตอบนั้นทำให้เวลาหยุดลงตอนนั้นฉันไม่เข้าใจความหมายของมัน ส่วนตอนนี้ฉันจำไม่ได้ทั้งคำถามและคำตอบ เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้วตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็ก

…บทสนทนาที่ฉันจำไม่ได้ไหลวนเข้ามาประจำอยู่ในระบบความคิด แต่ฉันก็คิดไม่ออก ส่วนเหตุผลเป็นเพราะอะไรนั้นฉันก็ไม่พบคำตอบเช่นกัน…

นานมากแล้วที่ไม่ได้เจอคุณยาย น่าจะผ่านมาแล้วราว 10 ปี ฉันได้ข่าวของคุณยายจากคุณแม่บ้างเป็นครั้งคราว ท่านเปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์อยู่ในต่างประเทศชื่อว่า ‘เบอร์รี่ เรท’ ตลอดเวลา 15 ปี คุณยายจะย้ายร้านทุกๆ 5 ปี เริ่มต้นจาก อังกฤษ ฟินแลนด์ และแคนาดา เมื่อคุณยายเปิดร้านใหม่เฟอร์นิเจอร์ที่ขายก็จะเปลี่ยนรูปแบบไปด้วยฉันได้รับโปสการ์ดวันปีใหม่จากคุณยายทุกปีและในภาพก็จะเห็นภาพเฟอร์นิเจอร์เหล่านั้น และฉันก็ชอบมาก คุณแม่เล่าว่าจริงๆแล้วธุรกิจเป็นไปได้ด้วยดีถึงจะไม่เป็นที่นิยมมากแต่ก็มีกลุ่มคนเฉพาะกลุ่มที่สนใจนั่นเป็นเพราะเฟอร์นิเจอร์ของคุณยายนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงเหมือนกับว่าถูกผสมผ่านระหว่างการออกแบบปัจจุบันกับอดีตนำมาวางขนาบกัน ส่วนเหตุผลที่คุณยายต้องย้ายบ้านอยู่บ่อยครั้งนั่นเป็นเพราะ “คุณยายบอกว่าอยากจะเก็บเกี่ยวความทรงจำไว้มากๆหน่ะลูก”

ราวๆเดือนก่อน ฉันได้รับข่าวจากคุณแม่ว่าคุณยายจะกลับมาอยุ่ไทยถาวร “จะไม่มาอยุ่ที่บ้านช่วยจัดการเรื่องห้องคอนโดให้หน่อย” คุณยายเป็นคนมีระเบียบวินัยและมีความรับผิดชอบสูงมากในขณะเดียวกันก็เป็นศิลปินนักออกแบบในคราวเดียว เรื่องความมีระเบียบและความรับผิดชอบคงเป็นมรดกตกทอดมาถึงคุณแม่ของฉันเพียง 3 วัน หลังวางสายโทรศัพท์คุณแม่ก็จัดการเรื่องห้องคอนโดใหม่เอี่ยมเสร็จสิ้นเมื่อใดที่คุณยายกลับมาก็สามารถไขกุญแจและเข้าพักได้เลยในทันที

“ให้หนูติดต่อบริษัทออกแบบกับทีมรับเหมาที่จะเข้ามารีโนเวทด้วยไหมคะคุณแม่”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นทิ้งไว้เป็นห้องโล่งเดี๋ยวฉันจะจัดการเอง”

“คุณยายชอบสีแดงเบอร์รี่นะคะ เราน่าจะต้องมีหนังที่เป็นสีแดงสลับกับขาว”

“คุณยายจะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองลูก” ตอนนั้นฉันคงจะคิดว่า ความเป็นศิลปินนักออกแบบของคุณยายจะเป็นมรดกตกทอดถึงตัวฉันบ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

คุณยายเดินทางถึงสนามบินตอนเวลาตีสองของคืนก่อน “ให้รถของทางคอนโดมารับที่สนามบินก่อนเวลานัด 5 นาที แล้วฝากกุญแจไว้ที่ล็อบบี้เลยไม่ต้องอยู่รอรับ” เมื่อถึงเช้าวันต่อมาฉันโทรศัพท์ไปกล่าวทักทาย เสียงของคุณยายแจ่มใส(ต้องคิดถึงฉันเหมือนกันแน่ๆ) ฉันเองก็ดีใจที่ได้คุยกับคุณยายเรานัดกันว่าจะไปดื่มชาที่คอนโดของคุณยายในเย็นวันถัดมาหลังจากฉันเลิกเรียน ฉันสามารถค้างกับคุณยายได้ถ้าต้องการ “สัปดาห์ก่อนหนูไปตรวจห้องพักเป็นเพื่อนคุณแม่ในห้องยังโล่งอยู่เลย พรุ่งนี้หนูไปหาคุณยายอยากได้อะไรเพิ่มเป็นพิเศษไหมคะ” ฉันถามคุณยายไป “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงจ่ะของทุกอย่างครบถ้วนดีแล้ว”

ตอนฉันยังเด็กคุณยายชอบเล่าสภาพแวดล้อมของเมืองที่คุณยายเกิดสมัยเด็กๆให้ฉันฟังคุณยายอยู่ต่างประเทศจนอายุได้สัก 18 ปี หรือก็คือพอๆกับฉันในตอนนี้ ในรูปคุณยายตอนอายุเท่าฉันดูสูงกว่าและสวยกว่าฉันในตอนนี้เยอะเลยตอนเด็กๆเวลาวัดส่วนสูงกับผนังห้องคุณยายจะเป็นคนใช้ดินสอสีขีดระดับความสูงของฉันกับผนังฉันอยากจะสูงและสวยเท่ากับคุณยายในวัยเดียวกันแต่ก็คงไม่ทันซ่ะแล้วตอนนี้ ผนังตรงนั้นอยู่ที่ไหนแล้วนะ? คุณยายมักเปิดภาพประกอบจากอัลบั้มรูปถ่ายพร้อมกับบรรยายด้วยถ้อยคำอันน่าอัศจรรย์ การออกแบบบ้านเมืองสมัยนั้นต่างจากปัจจุบันมากแต่ก็สวยงาม “ถ้าเอามารวมกับการออกแบบบ้านเมืองในปัจจุบันจะต้องออกมาแปลกแน่ๆเลยค่ะ” คุณยายมองหน้าฉันอยู่ครู่หนึงแล้วจึงเริ่มผุดรอยยิ้มออกมาและหัวเราะ เป็นการหัวเราะที่ยาวนานที่สุดของคุณยายเท่าที่ฉันจำได้ เรื่องราวเหล่านี้ยังคงแจ่มชัดในความทรงจำ

…มีอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คำถามที่ฉันได้ถามออกไป กับคำตอบที่ได้รับไม่ว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกซักที…

ฉันขึ้นรถไฟฟ้าจากสถานีที่ใกล้กับโรงเรียนที่สุด รถไฟตรงยาวจนถึงสถานีเพลินจิตขณะอยู่บนรถฉันกอดกระเป๋าไว้แน่นด้านในนอกจากหนังสือและอุปกรณ์การเรียนก็มีคุกกี้ฝีมือของคุณแม่และผ้าปูโต๊ะผืนโปรดของคุณยาย ตลอดระยะเวลาที่อยู่บนรถไฟฉันห้วนระลึกถึงความทรงจำสมัยเด็กกับคุณยายตลอดเวลา แน่นอนว่าฉันจำเรื่องราวได้อย่างไม่แจ่มชัดแต่ความรู้สึกสนุกที่ได้พูดคุยและความอบอุ่นที่ได้อยู่ด้วยกันนั้นเป็นของจริงถึงจะผ่านมา 10 กว่า ปีแล้ว คุณยายก็ยังเหมือนเดิมเสียงสนทนาทางโทรศัพท์คือข้อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ …แต่ถึงจะบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงแต่ภายใน 1 วันคุณยายจะจัดการทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไรกันนะ… ฉันเหม่อมองไปนอกหน้าต่างรถไฟและคิด

ภายในห้องคงยังไม่ได้ตกแต่งอะไรนอกจากเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้น ฉันรู้ดีว่าคุณยายชอบการตกแต่งแบบไหนฉันอยากโตขึ้นและเป็นนักออกแบบแบบเดียวกับคุณยาย งั้นเรื่องที่จะคุยกันวันนี้ก็น่าจะเริ่มจากการตกแต่งห้องคอนโดของคุณยายเสียเลย แค่เรื่องเดียวก็คงจะคุยกันนานแน่ๆฉันสามารถนอนค้างกับคุณยายคืนนี้ได้เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ขณะนี้ฉันอยู่ที่หน้าประตูห้องคอนโดของคุณยาย บานประตูสีขาวสะอาดคุ้นตาเช่นเดียวกับผนังและทางเดิน ด้านข้างหน้าประตูมีป้ายเขียนเลขห้องไว้ชัดเจน  …ไม่ผิดแน่ เอาหล่ะ ฉันพร้อมแล้ว… ฉันยกหลังมือขึ้นเคาะประตู

ประตูเปิดหลังจากเวลาผ่านไปได้ประมาน 10 วินาที คนที่เปิดประตูให้ฉันเป็นคุณยายไม่ผิดอย่างแน่นอนฉันยิ้มและกล่าวสวัสดียามเย็นคุณยายยิ้มรับ “กำลังรออยู่เชียวหล่ะ เข้ามาก่อนยายเตรียมน้ำชาเอาไว้แล้ว” นั่นก็เป็นประโยคที่ฉันคิดว่าจะได้ยินเหมือนกัน แต่ความรู้สึกผิดแปลกเข้าปกคลุมตัวฉันโดยไม่ทราบสาเหตุอาจเป็นเพราะฉันยังเห็นความผิดปกตินี้ไม่ชัดเจนเพราะมีคุณยายยืนขวางหน้าประตูอยู่ในตอนแรก แต่เมื่อเดินเข้ามาถอดรองเท้าและมองเข้าไปยังห้องคอนโดในพื้นที่ 50 ตารางเมตร แบบ 2 ห้องนอนจากทางเข้าจึงเข้าใจถึงที่มาของความรู้สึกผิดแปลกนี้ได้ในทันที

อาจพูดได้ว่าไม่ใช่ความผิดแปลกแต่เป็นสิ่งที่ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่างหาก รูปลักษณะของห้องที่เมื่อสัปดาห์ก่อนยังเป็นห้องโล่งสีขาวของโครงการประกอบด้วย 2 ห้องนอนขนาดใกล้เคียงกันตอนนี้กลับถูกตกแต่งใหม่จนกลายเป็นอีกห้องที่ไม่คุ้นตาและยากที่จะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง “หลานนั่งเก้าอี้ตรงนี้ก่อนนะเดี๋ยวยายจะยกน้ำชามาให้” คุณยายพูดอย่างราบเรียบราวกับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ฉันเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตามคำแนะนำ

คุณยายเดินไปยังส่วนครัวที่อยู่ข้างประตูหันหลังให้กำลังจัดเตรียมเตรียมชุดชา “ให้หนูช่วยนะคะ” ไม่เป็นไรนั่งอยู่ตรงนั้นเถอะ คุณยายตอบกลับแบบนั้น ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้มองดูโต๊ะและโซฟาที่อยู่ติดกัน ขนาดทั้ง 2 กระทัดรัดเหมาะสมกับพื้นที่ดี สามารถเดินได้รอบอย่างอิสระ ห้องนอนตอนนี้ไม่ได้เป็น 2 ห้องแบบที่ควรจะเป็นผนังห้องนอนฝั่งหนึ่งหายไปด้านหนึ่งถูกซอยให้เป็นห้องกระจกที่มีเตียงเล็กๆ ส่วนอีกด้านจัดเป็นโต๊ะทำงานที่เชื่อมกับส่วนรับแขก มุมตรงนั้นมองเห็นวิวภายนอกได้อย่างชัดเจน ม่านยาวสีขาวถูกรวบไว้ข้างผนังทั้ง 2 ข้าง ฉันจินตนาการว่าถ้าผ้าม่านถูกรูดปิดตั้งแต่ผนังฝั่งซ้ายไปจนสุดด้านขวาพื้นที่ถายในจะสวยงามได้ถึงขนาดไหน ตอนนี้หน้าต่างเปิดอยู่ลมอ่อนๆพัดโชยเข้ามาทำให้กระดาษสเก็ตแบบเฟอร์นิเจอร์ขนาดเอหนึ่งสี่ถึงห้าแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานเผยอขึ้นและสะบัดไปมาตามแรงลม คุณยายคงกำลังทำงานอยู่ การตกแต่งบริเวนอื่นๆ ประกอบด้วยผนังสีขาวในรูปแบบผสมผสานระหว่างคลาสสิกกับปัจจุบัน หากพูดว่าผสมอาจเป็นเพียงแค่คำที่มีความหมายใกล้เคียงอาจต้องพูดว่า ‘ซ้อนทับกัน’ จะถูกต้องกว่า ส่วนผนังสีแดงเบอร์รี่ถูกจัดวางตำแหน่งได้อย่างเหมาะสมและสวยงามทั้งด้านซ้ายและขวา ใช่ สีที่ทั้งฉันและคุณยายชอบที่สุด ทุกอย่างถูกจัดขึ้นมาเพื่อตอบสนองการใช้งานของคุณยายอย่างแท้จริง ทั้งการใช้งานและการตกแต่ง คุณยายหยิบชุดชาแบบอังกฤษวางบนโต๊ะและนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างสง่างามช่วยดึงความสนใจของฉันกลับไปยังคุณยาย

“ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ” คุณยายเผยยิ้มอบอุ่นอันคุ้นเคยฉันตอบรับไปแต่ใบหน้าแสดงความเศร้าหมองออกมาหน่อยๆ …แบบนี้เรื่องที่เตรียมมาก็ไม่ได้คุยแล้วหน่ะสิ… ฉันคิด “เป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าดูไม่ดีเลย” คุณยายแสดงสีหน้าเป็นกังวล ฉันลังเลที่จะพูดแต่ก็ตัดสินใจที่จะพูดออกไป

“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร แค่… ตอนแรกคิดว่าอยากคุยเรื่องการตกแต่งห้องคอนโดใหม่ของคุณยาย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ห้องนี้ก็ตกแต่งเสร็จออกมาใหม่เอี่ยมสวยงามแล้ว และก็ยังสัมผัสได้ถึงตัวของคุณยายเมื่อก่อนได้อย่างแจ่มชัด ทำให้คิดถึงห้วงเวลาหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว… อืม… อธิบายไม่ถูกเลยค่ะ อาจจะเป็นความทรงจำของหนูเองที่สับสน” ฉันมองไปรอบห้องอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว อะไรบางอย่างที่หลงลืมไปเริ่มมีทีท่าจะหวนคืนกลับมา

“อย่างนี้นี่เอง อืม… นั่นสินะ จะว่าไปผนังตรงนั้นถ้าจำไม่ผิดยายเป็นคนที่ขีดระดับความสูงของหลานให้ด้วยดินสอด้วยนี่หน่า ไม่รู้ว่าหลานยังจำได้ไหม แต่ก็คงไม่แปลกที่จะรู้สึกคุ้นเคย” คุณยายชี้นิ้วไปยังผนังสีแดงเบอร์รี่ด้านหนึง ฉันมองตามไป มีเส้นที่ถูกขีดไล่ระดับจากพื้นเป็นแนวนอนด้วยดินสอสีแดงเข้มหลายระดับอยู่จริงๆฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินเข้าไปที่ผนังนั้น “ยังจำได้อยู่หรือเปล่าไม่รู้นะ แต่เรื่องก็นานมาแล้วจริงๆ” คุณยายลุกเดิมตามหลังฉันมาเสียงหัวเราะนั้นช่วยให้คิดถึงวันวานที่เลือนลาง ฉันจ้องมองไปที่ผนังใกล้จนแทบจะแนบสนิท ดวงตาเบิกกว้าง

“ต้องจำได้อยู่แล้วค่ะ คุณยาย”

ฉันหลับตาลงนึกถึงภาพฝันกันยาวไกลเมื่อก่อนมือสัมผัสลงบนแทบสีทีละเส้นอย่างแผ่วเบา และห้วงความทรงจำในอดีตก็แจ่มชัดขึ้นมา

ฉันสามารถเก็บเกี่ยวความทรงจำได้ในรูปแบบนามธรรมเป็นเพียงแค่ภาพฝันที่จะเห็นได้ก็ต่อเมื่อหลับตาลง ภาพที่เกิดขึ้นอาจชัดเจนหรือไม่ก็ผิดเพี้ยนจากเดิมไปบ้าง แต่ก็ยังคงเป็นเพียงภาพฝัน แตกต่างกับคุณยายของฉันโดยสิ้นเชิงที่ไม่ได้เก็บภาพเหล่านั้นไว้เพียงเป็นภาพในความทรงจำแต่สามารถสร้างภาพเหล่านั้นก่อตัวขึ้นในรูปแบบที่เป็นรูปธรรมตามแต่ช่วงเวลาที่ต้องการ ถึงแม้อาจมีบางส่วนที่ผิดเพี้ยนไปตามสักยภาพของสมองตามการเวลาอยุ่บ้างก็ตาม อย่างกับว่าคุณยายก็สามารถหยิบจับ… ห้วง…เวลาเหล่านั้นได้อย่างกับเป็น…

อย่างกับเป็น…

ใช่ ใช่แล้ว… ฉันจำได้แล้ว คำพูดของคุณยายในตอนนั้นที่ฉันนึกไม่ออกหลั่งไหลเข้ามา ภาพฝันแจ่มชัดผนังสีแดงเบอร์รี่ เฟอร์นิเจอขาวโพลน พื้นไม้ และเคาน์เตอร์หินอ่อน ฉันยังเด็กมาก ในห้องๆนั้นก่อนหน้านั้นไม่ได้เป็นแบบนั้นจนกระทั่งคุณยายเดินเข้ามา ห้องก็แปรเปลี่ยนไป

“คุณยายทำแบบนั้นได้ยังไงคะ” ฉันเอ่ยถามขึ้น คุณยายเข้ามานั่งข้างฉันกับพื้น ลูบหัวฉันอย่างทะนุถนอม รอยยิ้มอ่อนโยน ยื้นหน้าเข้ามาใกล้ฉันและกระซิบบอก

“เขาเรียกยายกันว่าเป็นผู้หอบหิ้วห้วงเวลาหน่ะ”  และตอนนั้นเองเวลาก็ได้หยุดลง