DISCOVER

When space tells a story 01

: I will protect my princess

Writer : Siraphop Pulsri

เนื้อหาในบันทึกฉบับเก่ากึ้กซึ่งซ่อนอยู่ใต้ปึกกระดาษในกล่องเก็บของที่อยู่ในลังกระดาษนับสิบกองบนห้องเก็บของใต้หลังคาช่างน่าพิศวงและยากที่จะเชื่อว่าเกิดขึ้นจริง หากคุณอยู่ในกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนธรรมดาและไม่เชื่อพลังเหนือธรรมชาติ ปีศาจ อัศวิน และโลกต่างมิติ เรื่องราวดังต่อไปนี้อาจเป็นเพียงฝันกลางวันของผู้ใหญ่วัยทำงาน ความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นผมไม่อาจตอบได้เนื่องจากผมเป็นเพียงบุคคลที่รวบรวมเรื่องราวจากบันทึกส่งต่อถึงผู้อ่านเพียงเท่านั้น แต่อย่างที่ได้กล่าวไปถึงจะเป็นเรื่องอันน่าพิศวงแต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงเค้าโครงความจริงที่พออ้างอิงได้บ้างและหากพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ่วนดีแล้วหากจะบอกว่าเรื่องราวดังต่อไปนี้จะเกิดขึ้นจริงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้แต่อย่างใด

’บันทึกปฏิบัติการปราบจอมมารทอรอสา ครั้งที่ 32 โดย นักดาบพเนจร บอส’

สงครามการต่อสู้ระหว่างกองกำลังฝ่ายขบถกับจอมมารทอรอสาดำเนินมาอย่างยาวนานจนถึงศึกครั้งที่ 32 ช่วงเวลาการต่อสู้ตลอดหลายปีกำลังจะสิ้นสุดลง ผมที่เมื่อหลายปีก่อนเป็นเพียงนักดาบพเนจรได้เข้าร่วมการต่อสู้และได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินคู่กายองค์หญิงมาตั้งแต่เริ่มศึกครั้งแรก ก่อนหน้านั้นผมจากถูกว่าจ้างในภารกิจเล็กๆภารกิจหนึ่งนั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางไปยัง ‘ทะเลสาบสีมิ้นท์’ หลังเสร็จสิ้นภารกิจที่ทะเลสาบก็ได้ไปเห็นเข้ากับการต่อสู้ระหว่างกองกำลังกบถที่นำทัพโดยองค์หญิง เนเน่ และ 6 เหล่านักรบซึ้งกำลังต่อกรกับจอมมารทอรอสาโดยบังเอิญและในช่วงที่ฝั่งขบถตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองอย่างมากนั่นเองผมได้เข้าช่วยเหลือองค์หญิงได้ทันท่วงที หลังจากนั้นสงครามอันยาวนานก็ได้อุบัตขึ้น

‘ทะเลสาบสีมิ้นท์’ เป็นสถานที่พิศวงการที่จะไปที่แห่งนั้นได้จำต้องเดินทางผ่านประตูมิติซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าไปเพียงลำพังได้หากปราศจากผู้ชี้นำ ขอบเขตของทะเลสาบนั้นกว่างใหญ่จนไร้ที่สิ้นสุดอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นทะเล เหตุผลนั่นเป็นเพราะตัวทะเลสาบแห่งนี้กำลังค่อยๆคลืนกินแผ่นดินไปทีละนิด พื้นที่ชายฝั่งถูกกัดเซาะกลายเป็นสีส้มแคนตาลูปพื้นดินขณะนี้ไร้รูปทางที่ชัดเจน สีมิ้นท์หรือบางที่ก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้าไพลินไม่ได้เกิดจากการสะท้อนจากสีของท้องฟ้า(เพราะท้องฟ้าของที่แห่งนี้เป็นสีขาวโลพนไร้ดวงอาทิตย์ มีเพียงแสงจากดวงดาวอันใกล้ที่กระจายตัวอยู่โดยรอบบริเวณ) ทั้งยังมวลของน้ำนั้นมีความเข้มข้นสูงทึบแสงไม่สามารถมองทะลุได้และว่ากันว่าตัวตนที่แท้จริงของทะเลสาบแห่งนี้นั้นก็คือจอมมารทอรอสาผู้ที่ต้องการจะยินคลองโลกใบนี้นั่นเอง

จอมมารมีอัตลักษณะไร้รูปทรงเหมือนของเหลวทึบแสงคล้ายนมกลายเป็นเหมือนเนื้อหนังที่ห่อหุ้มโครงสร้างเส้นใยสีดำอันเกิดจากเส้นผมของประชาชนที่ถูกจอมมารจัดการและถูกนำมาใช้เป็นโครงสร้างร่างกายตนเองส่วนประชาชนที่จอมมารจำไว้ถูกขังอยู่ในห้องขังจำนวนหลายแห่งที่ถูกร่ายเวทย์มนต์เขียวจึงไม่สามารถหนีออกมาได้ องค์หญิง เนเน่ ผู้ที่มีเส้นผมที่สวยงามที่สุดจึงเป็นเป้าหมายของของจอมมาร

จอมมารกวัดแกว่งร่างกายไร้รูปร่างเพื่อโจมดีพวกเราได้เหมือนปลาหมึกและพ่นของเหลวจากฟากฟ้าเพื่อโจมตีในมุมอับสายตา ผิวกายบนตัวของจอมมารบางครั้งเรืองแสงบ้างก็เปลี่ยนสีสวยงามและน่าค้นหามากกว่าน่ายำเกรงแต่นั่นก็เป็นกลอุบายเพื่อให้พวกเราตัดกับหลังไหลกับความงามจนต้องตกเป็นเชลย ตั้งแต่เริ่มต้นส่งครามพวกเราพยายามจำกัดพื้นที่การต่อสู้โดยสร้างบังเกอร์จากผืนดินสีส้มแคนตาลูปเป็นพื้นที่ส่วนน้อยที่เหลืออยู่เราใช้สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งแหล่งกบดาลและโจมตีแต่ก็ไม่สามารถต่อกรกับพลังที่ไร้ขอบเขตนั้นได้เลย ทุกครั้งที่พวกเราบุกโจมตีมันก็จะจับตัวเราไว้กับที่บนแท่นอะไรบางอย่างโจมตีด้วยคลื่นเสียงคล้ายเครื่องยนต์แต่ส่งผลกับร่างกาย(รวดเร็วจนแทบไม่รู้ตัว) พวกเราต้องพ่ายแพ้และสูญเสียเส้นผมของตนเองทุกครั้งไป เมื่อ 3 เดือนก่อนเราเกือบจะโค่นจอมมารลงได้แต่ในช่วงชี้เป็นชี้ตายเราดันประมาทจนเกินไปพวกเราจึงต้องยอมแพ้แต่โดยดี แต่ครั้งนี้พวกเรามารวมตัวกันอีกครั้งและจะต้องไม่แพ้ต่อจอมมาร

“ครั้งนี้จะต้องปราบเจ้าจอมมารทอรอสาลงให้ได้” นักรบแวมไพร์นามว่าโอบีวันกล่าว

“ถูกต้อง เราต้องจัดการมัน!” นินจาฝาแฝด เฟร็ด และ จอร์จ ร้องตะโกนพร้อมกัน นักเวทย์นามว่าเอิร์ดเวิร์ด มือธนูสแปโร่ นักดาบเลเซอร์คาคาชิ และหัวหน้าโจรสลัดแคนนิส เห็นพ้องต้องกัน

“แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็ห้ามประมาทโดยเด็ดขาดทุกคนเข้าใจใช่ไหม ท่านอัศวินบอสช่วยชี้แจงแผนการครั้งนี้อีกครั้ง” องค์หญิง เนเน่ กล่าวพร้อมกับหันมาทางผมเพื่อทบพวนแผนการ

“ครั้งนี้เราเตรียมการต่อสู้มาเป็นอย่างดีขอรับองค์หญิง กระผมและเหล่านักรบทุกคนไม่ยอมให้จอมมารทอรอสาช่วงชิงเส้นผมของท่านไปอีกเป็นอันขาด ขอใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน” ผมคุกเข่าต่อหน้าองค์หญิงและนักรบทุกคนก็คุกเข่าตามแสดงความเคารพ แม้เป็นเพียงเวลาเล็กน้อยผมได้เงยหน้ามององค์หญิง ใบหน้ากับดวงตาคู่นั้นสว่างใสเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหารและบริสุทธิ์ใจ ผมมั้นใจอย่างยิ่งแม้ว่าเส้นผมจะถูกช่วงชิงไปจนไม่เหลือแม้แต่เส้นเดียวแต่ใบหน้านั้นก็ยังคงงดงาม

…จอมมารนั้นแข็งแกร่งและน่ากลัวจริงๆ แต่พวกเราก็ไม่เคยคิดยอมแพ้ และ บัดนี้เราทุกคนก็มาอยู่ที่หน้าประตูมิติเตรียมพร้อมเดินทางเข้าสู่ ‘ทะเลสาบสีมิ้นท์’ เพื่อที่จะไปต่อสู้กับจอมมารอีกครั้ง

การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดและเข้มข้นอย่างอย่างทุกครั้ง แม้ว่าจะเตรียมแผนการเป็นอย่างดีเพียงใดเราก็ไม่สามารถเอาชนะจอมมารได้การต่อสู้ครั้งนี้จึงยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดของสงคราม…

ไม่ว่าจะค้นหาเท่าไหร่ผมก็ไม่เจอ ‘บันทึกปฏิบัติการปราบจอมมารทอรอสา ครั้ง 33’ เลย หรือนี่จะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างกองกำลังขบถกับจอมมารทอรอสาแล้วนะ แต่การต่อสู้นั่นก็ยังไม่รู้ผลเลยไม่ใช่หรือ? หรือกองกำลังขบถได้พ่ายแพ้ลงจึงไม่ได้เขียนบันทึกต่อ? ผมคาดเดาเรื่องราวไม่ได้ ผมเริ่มถอดใจในการค้นหาและเก็บบันทึกทั้งหมดเข้าไปในแฟ้มปิดมันลงอย่างบรรจงและนั่งลงบนกล่องลังใบหนึ่งในห้องใต้หลังคา …เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นจริงได้อย่างไรกันไร้สาระเกินไปหรือเปล่า… ผมนั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียวเงยหน้าขั้นมองเพดานที่มืดสนิทและหลับตา ในห้องร้อนอบอ้าวเกินสังเกตถึง เหงื่อผมไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่สามารถระบุเวลาได้ชัดเจนในมือถือแฟ้มที่ภายในเก็บ ‘บันทึกปฏิบัติการปราบจอมมารทอรอสา’ ครั้งที่ 1-32 ไว้ในมือ และเวลาก็ค่อยๆเดินทางต่อไป

“คุณคะ คุณอยู่ข้างบนหรือเปล่า” ผมได้ยินเสียงนั้นชัดเจน เป็นเสียงที่ดูหยาบกระด่างกว่าช่วงเวลาปกติเล็กน้อย ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดหลายปีก็จะไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้เลย ผมทิ้งเวลาช่วงไปประมานหนึ่งก่อนตัดสินใจขานรับ

“คุณท้อปโทรมาค่ะ ทวงต้นฉบับสำหรับลงตีพิมพ์ตอนสิ้นเดือนฉันเข้าใจว่าคุณส่งไปแล้วตั้งแต่เมื่อ 2 วันก่อน นี่มันอะไรกันคะ” สิ้นเสียงประโยคนั้นผมสะดุ้งตัวขึ้นทันทีและรีบเดินออกจากห้องด้วยความตื่นตระหนกผมไม่ได้ลืมส่งต้นฉบับแต่ยังเขียนไม่เสร็จต่างหาก ในหัวผมขาวโหลนมาระยะนึงแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ตัวผมมาอยู่ในห้องเก็บของแห่งนี้อยู่เป็นเวลานาน

“ยังถือสายอยู่หรือเปล่า” ผมชะโงกหน้าออกไปหาเธอที่อยู่หลังกำแพง เธอแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ผมก็ไม่ชินกับสีหน้านี้เสียเลย “ขอโทษด้วยจริงๆ ผมจะรีบไปเขียนให้เสร็จทันที”

“วางไปแล้วค่ะ ฉันบอกว่าคุณออกไปข้างนอกทิ้งมือถือเอาไว้ คุณท้อปแจ้งว่าขอเป็นคืนนี้ก่อนเที่ยงคืนนะคะ” ถึงแม้สีหน้ายังคงไม่พอใจเหมือนเดิมแต่ในดวงตานั้นก็ฉายแววความเป็นห่วง (ผมอาจจะรู้สึกไปเองก็ได้)

“ขอบคุณมากจริงๆ ผมจะไปเขียนต้นฉบับเดี๋ยวนี้แหละ” ผมจ้องมองหน้าเธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจแต่เมื่อสิ้นสุดประโยค เธอเบิกตาโตอย่างเห็นได้ชัดพร้อมกับตัวที่พองขึ้นอย่างกระทันหัน ผมเข้าใจสถานการณ์ทันที ใช่แล้วผมเพิ่งนึกเรื่องสำคัญอีกเรื่องนึงออก ผมผ่อนร่างกายลงความตื่นตระหนกสลายตัวไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและจึงพูดขึ้นว่า “ขอโทษจริงๆ วันนี้ช่วยไปรับลูกแทนได้ไหม” ไม่มีการตอบกลับใดๆ เธอกอดอกมองหน้าผมยาวนานไปอีกกลายวินาที

เฮ้อ… เธอถอนหายใจยาว หลับตาลง ใบหน้าโกรธกริ้วค่อยๆจางหายไป เธอลืมตาขึ้นดวงตาสว่างใสเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหารและบริสุทธิ์ใจจ้องมาเข้ามาในดวงตาของผม ก่อนถ้อยคำต่อไปจะเอื้อนเอ่ย

“เรียกฉันว่าองค์หญิงก่อนสิ”

…ทะเลสาบสีมิ้นท์ กองกำลังขบถ การต่อสู้ เวทย์มนตร์ หรือ จอมมารทอรอสาที่โจมตีเหล่านักรบด้วยของเหลวคล้ายนม โลกที่เราจะเป็นอะไรก็ได้ตามแต่ที่จะมีพลังแห่งจินตนาการอาจมีอยู่จริงๆก็ได้ สงครามการต่อสู้นั้นคงยังดำเนินต่อไปในสถานที่แห่งหนึ่งเพียงแต่สถานที่นั้นอาจอยู่ในอีกมิติหนึ่ง มิติที่ถูกช่วงเวลาแห่งการเติบโตช่วงชิงไปจนมองไม่เห็นอีกต่อไป ผมคงกลับไปยังสถานที่แห่งนั้นไม่ได้อีกแต่ก็จะคิดถึงช่วงเวลานั้นอยู่ตลอดเวลาไม่มีวันลืม…